Post นี้อยากจะบันทึกเรื่องกระบวนการเตรียม Senior fellow application เอาไว้ เผื่อวันหลังใครถาม จะได้จำได้ว่าตอนนั้นเรามีหลักการเขียนอย่างไร ถ้ายังไม่คุ้นว่า Senior Fellow | Higher Education Academy (SFHEA) คืออะไร ขอแนะนำให้อ่าน UKPSF ก่อน
SFHEA application แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ Reflective Account of Practice (RAP) และ 2 case studies โดย RAP เป็นเรื่องของตัวเราเอง และอีก 2 case studies เป็นการแสดงถึงงานที่เราไปช่วยในการพัฒนาคนอื่น โดยใน 3 ส่วนนี้จะต้องเขียนให้มี K A และ V ครบทุกข้อ รวมทั้งต้องแสดงการช่วยเหลือ และพัฒนางานที่นอกเหนือไปจากห้องเรียนของเราเอง ซึ่งอันหลังมักจะแสดงผ่าน case study นอกจากนี้จะต้องมีจดหมายจาก referee อีก 2 ฉบับ
หัวใจของการเขียน SFHEA application คือ "reflection" หมายความว่าเราไม่ได้เน้นเขียนที่ what แต่ต้องเขียนที่ why & how ให้มากขึ้น โมเดลนึงที่เมื่อตอนเข้าร่วมอบรมกับ AdvanceHE ที่แนะนำให้เขียนคือ Gibb's Reflective Cycle ดังที่แสดงไว้ในรูป และหาอ่านเพิ่มเติมได้ที่ link นี้ การฝึกการเขียน Gibb's Reflective Cycle เป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้เขียน application ได้ดี โดยเฉพาะพวกเราที่เป็นคนทางสาย Science & Technology มักจะไม่ค่อยเขียนในเชิง reflection มากนัก การฝึกให้มี reflective thinking ก่อนลงมือเขียนจริงจะช่วยได้มาก
Photo credited to: https://smartcustomessays.com/gibbs-reflective-cycle/
ในตอนที่ลงมือเขียนจริง ไม่ได้นึกถึง Gibb's Reflective Cycle เท่าไหร่นักเพราะมัวแต่กังวล content ที่จะเขียน แต่การที่เคยลงมือเขียนอยู่บ้างแล้ว ทำให้ไม่ได้หลุดจาก Gibb's Reflective Cycle ไปมากเท่าไหร่
ตอนที่เขียน เริ่มต้นเขียนจาก case study ทีละ case ก่อน แล้วจากนั้นจึงเขียน RAP เพราะใน case study อาจจะมีไม่ครบทุก Dimension ตาม UKPSF เราจะได้แน่ใจว่าเราจะต้องหากิจกรรมที่แสดงถึง dimension นั้นมาใส่ไว้ใน RAP
การเขียน Case Study
การเขียน case study เน้นให้เห็นถึง D3.VII เป็น Successful coordinator, support, supervision, management and/or mentoring of others (whether individual and/or teams) in relation to learning and teaching. ในการเขียนจะต้องเขียนให้ชัดว่าเรา (ใช้แทนว่า I ไม่ใช่ We) ทำอะไร มีบทบาทอย่างไร การเผลอใช้ we เกิดได้ง่ายขึ้นโดยเฉพาะ case study ที่เป็นการ lead กิจกรรมหรือหน่วยงาน เพราะรู้สึกว่าผลงานมันมาจากทีมมากกว่ามาจากตัวเรา ในกรณีแบบนี้ ต้องแสดงให้เห็นถึง management ของเราที่ช่วยให้ผลงานเกิดขึ้น อีกประเด็นคือการเขียนต้อง tag K A V ไปตลอดเวลา เกือบจะเรียกได้ว่าต้องมีการ tag อย่างน้อยใน ทุก ๆ paragraph เลยก็ว่าได้
การวางเรื่องจะเขียน case มักจะต้องเริ่มจากที่ทำไมเราจึงทำเรื่องนี้ พยายามแก้ปัญหา หรือมีความสำคัญกับใครอย่างไร แล้วจึงเล่าว่าทำอะไรโดยสอดแทรกไปเสมอว่าทำไมเราจึงเลือกทำแบบนี้ (ตรงนี้ควรมี research backup ด้วย เพราะแสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้คิดขึ้นมาเอง และทำให้เราสามารถ tag V3 (Use evidence-informed approaches and the outcomes from research, scholarship and continuing professional development) ได้อีกด้วย
เมื่อเล่าว่าทำอะไรแล้ว ทำเพราะอะไร ก็จะมาถึงการประเมินความสำเร็จของสิ่งที่เราทำลงไป โดยการประเมินความสำเร็จทำได้หลายวิธี แน่นอนว่าวิธีการเก็บผลแบบ formal ก็จะเห็นได้ชัดเจน แต่ถ้าไม่มี ไม่ได้แปลว่าเราจะเขียนไม่ได้ เพราะมันมีการประเมินด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การสังเกตุ หรือพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งอาจจะเป็นการเล่าโดยเรา การเขียน quote ของคนที่เราไปพูดคุย โดยอาจจะ back up สิ่งที่เรา claim ได้จาก referee ที่เขียนให้เราได้อีกด้วย และมักจะเติมว่า step ต่อไปเรา plan ที่จะปรับปรุงอย่างไร
การเขียน RAP
การเขียน RAP ก็มีหลักการคล้าย ๆ กับ case study ในเรื่องการ tag dimension ต่าง ๆ ของ UKPSF แต่เป็นการเล่าประวัติตนเอง วิทยากรจาก AdvanceHE บอกว่าเราควรจะเริ่มจาก passion ของการสอนหนังสือก่อน ตอนนั้นเคยฝึกเขียนถึง "Favorite teacher" ซึ่งหัดทำให้เราบรรยายเชิง reflection ออกมาได้มากขึ้น
ตอนที่เขียน เริ่มจากการเล่าประวัติเริ่มเล่าจาก academic background ก่อน แล้วจึงเล่าต่อถึง passion ของการสอนหนังสือ และการทำงาน ถึงแม้จะใช้ประวัติเป็นตัวหลักในการดำเนินเรื่องแต่เน้นที่การอธิบายว่าทำไมเราจึงเลือกทำแบบนี้ แล้วผลกระทบจากสิ่งที่เราทำคืออะไรบ้าง การประเมินความสำเร็จของสิ่งที่ทำก็ยังมีอยู่บ้าง แต่อาจไม่ได้ชัดเจนเหมือน และกิจกรรมอาจไม่ได้มี involvement มากเหมือนใน case study
Supporting statement from referee
ในการสมัคร เราจะต้องมี referee 2 คน หลักการคือให้เค้าช่วย verify ในสิ่งที่เราเขียน ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายในการเลือกคนที่เข้าใจเรื่อง PSF และมีเวลาพอจะนั่งเขียนให้ได้ หลายครั้งมีคนแนะนำให้ใช้ referee เป็นลูกน้อง/เพื่อนร่วมงาน 1 คน และ หัวหน้างานหนึ่งคน แต่ตรงนี้ต้องขึ้นกับเนื้อหาที่เขียนด้วย ทาง AdvanceHE แนะนำว่าคนที่ช่วยเขียนให้ ควรจะเป็นคนที่เป็น Senior Fellow ไม่ใช่เพราะว่าเป็น qualification แต่เป็นเพราะว่าคนเหล่านี้จะเข้าใจ UKPSF ดี และจะรู้ว่าจะต้องเขียนในมุมมองไหนบ้างเพื่อเป็นการยืนยันสมรรถนะของเราเทียบกับ PSF
วิธีการช่วย referee ในการเขียนนี้ ส่วนนึงอาจจะต้องส่ง application ไปให้เค้าดูด้วย และอีกวิธีหนึ่งคือการช่วยสรุปประเด็นที่อยากให้เค้าพูดถึงเราให้ เป็นการช่วยให้เราได้ statement ที่ตรงประเด็นมากขึ้น และง่ายต่อ referee ในการเขียนให้ โดยเฉพาะถ้าเค้าไม่รู้จัก UKPSF มากนัก
การเขียน application มีหลายวิธี สิ่งที่เล่ามาเป็นเพียงวิธีหนึ่งที่ได้เคยใช้เท่านั้น เวลาเขียนแต่ละคนคงจะต้องปรับให้เข้ากับเนื้อเรื่อง และลักษณะการเขียนของตัวเองอีกครั้งนึ่ง
Comments
Post a Comment