ประเทศไทยกำลังมุ่งสู่การเปลี่ยนแปลงการศึกษา โดยออกจาก content-based education
เพราะคิดว่าการสอนซึ่งเน้นเนื้อหาวิชาเป็นสำคัญ
มีการสอนและครูเป็นศูนย์กลางในการถ่ายทอดความรู้ไปสู่ผู้เรียน และมักขับเคลื่อนด้วย
"การสอบ" ซึ่งเคยเหมาะกับยุคสมัยหนึ่ง ซึ่งความรู้หายาก และต้องได้รับการถ่ายทอดจากครูนั้น ไม่เหมาะกับการเรียนรู้ในปัจจุบัน เนื่องมาจาก
📗 ความรู้เดี๋ยวนี้เป็นเรื่องหาง่าย อยากเรียนรู้อะไรเปิดดูใน
internet ก็พอจะหาคำตอบได้
🔎 ผลการประเมินการสอบ ไม่สามารถบอกได้ว่า
ผุ้เรียนจะทำงานได้เป็นอย่างไรในสถานการณ์จริง
🧠 การเรียนแบบนี้ไม่ได้เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีโอกาสใช้ critical
thinknig และการตัดสินใจ
🗺 การเรียนแบบนี้ไม่ตอบสนองต่อการพัฒนาประเทศ เพราะไม่ทำให้คนมีทักษะที่ต้องการ
จึงได้มีความพยายามในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่การศึกษารูปแบบอื่น ๆ เช่น การศึกษาฐานสมรรถนะ (Competency-based education, CBE) เช่นในการศึกษาขั้นพื้นฐานที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการทดลองใช้เพื่อจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการศึกษาทั้งระบบ และการศึกษาที่ใช้ผลลัพธ์การเรียนรู้เป็นฐาน
(Outcome-based education, OBE) ที่สถาบันอุดมศึกษาได้นำมาใช้มาหลายปีแล้ว แต่เราก็ยังเหมือนนับหนึ่งกันอยู่ คงมีคนไม่น้อยที่สงสัยว่าแล้ว CBE กับ OBE มันคือเรื่องเดียวกันรึเปล่า ทำไมการศึกษาส่วนนึงใช้ CBE และอีกส่วนใช้ OBE คำถามแรก ตอบได้ด้วย literature ที่ไปหาอ่านมาและนำมาสรุปไว้ใน post นี้ แต่คำถามหลังไม่แน่ใจว่ามีคำตอบ
ใน literature ที่ได้ไปอ่านมามีทั้งบอกว่า CBE เหมือน และต่างจาก OBE จริง ๆ แล้วคงเป็นเพราะมุมมองผู้เขียนที่ต่างกันของคำว่า "ต่าง" เพราะจริง ๆ แล้วมันมีทั้งคำว่าเหมือนและคำว่าต่างอยู่ด้วยกัน และผู้เขียนที่บอกว่า CBE กับ OBE เหมือนกัน ก็ยังอธิบายความแตกต่างอยู่ในตัวเนื้อหาอยู่ด้วย
หลักการของ CBE กับ OBE มีความคล้ายคลึงกันมากคือ "Begins with the end in mind" คือเอา competency หรือ learning outcomes เป็นตัวตั้ง แล้วจึงออกแบบย้อนกลับ (Backward design) ไปหาวิธีการประเมิน และวิธีการเสริมสร้างการเรียนรู้ให้สอดคล้องกัน เน้นที่การเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นสำคัญว่าจะต้องทำให้เกิด learning outcomes และสมรรถนะได้จริง และการได้มาของ learning outcomes & competency นั้นจะต้องมีความเกี่ยวข้อง เชื่อมโยงกับชีวิตจริง เช่นเป็นควาามต้องการผู้ใช้บัณฑิต หรือความต้องการของอุตสาหกรรมเป็นต้น ด้วยความเหมือนกัน Mulenga & Kabombwe (2019) สรุปว่าสองคำนี้ไม่ต่างกันและใช้สลับกันไปมาใน article ที่เขียนขึ้น และได้ใช้ 3 premises ของ OBE ที่ Spady ได้เขียนเอาไว้ก่อนหน้านี้สำหรับ CBE ซึ่งประกอบไปด้วย
- All learners can learn and succeed but not on the same day or in the same way หมายความว่าผู้เรียนจะสามารถเรียนรู้และได้ learning outcome หรือมีสมรรถนะตามที่กำหนดไว้ได้ แต่อาจจะไม่ได้ทำได้พร้อมกัน เพราะพื้นฐานและความสามารถในการเรียนรู้ที่ต่างกัน อีกทั้งยังมี learning preference ที่ต่างกัน ทำให้วิธีเรียนรู้แตกต่างกัน
- Success breeds success คือการประสบความสำเร็จมันเป็นเหมือนปฏิกริยาลูกโซ่ เมื่อผู้เรียนประสบความสำเร็จแล้วครั้งนึง ก็จะมีกำลังใจในการทำสิ่งที่ยากขึ้นเพื่อให้สำเร็จต่อไปเรื่อย ๆ
- School control the conditions of success การที่เด็กทุกคนจะทำให้สำเร็จได้ "school" ซึ่งในที่นี้หมายถึงตั้งแต่ผู้บริหาร อาจารย์ เจ้าหน้าที่ในโรงเรียน มีส่วนจะต้องช่วยสนับสนุน โดยจะต้องสภาพแวดล้อมเพื่อให้เอื้อต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้และทักษะที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในสังคมต่อไป
อย่างไรก็ตาม ในความเหมือนก็มีความต่างเช่นกัน CBE เกิดมาจากการเปลี่ยนวัตถุประสงค์การเรียนรู้ ให้เป็นวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ที่ได้จากการวิเคราะห์งานที่ทำให้ออกมาเป็นส่วนย่อย ๆ จึงเน้นเรื่องการพัฒนาทักษะการทำงานเชิงเทคนิค และการทำตามขั้นตอน (ซึ่งฟังดูเหมือนการวิเคราะห์งานที่เรียกว่า functional analysis ที่จะแตกงานออกมาผ่าน key purpose, key role, key function, unit of competence, และ element of competence ที่ใช้ในการพัฒนามาตรฐานอาชีพ เพราะฉะนั้น CBE จึงเน้นที่การทำให้มีสมรรถนะเพื่อประกอบอาชีพใดอาชีพหนึ่ง)
ในขณะที่ OBE นั้นใช้ outcomes เป็นตัวตั้ง โดย outcomes มี 2 แบบ คือ
🎀 Critical & development outcomes ซึ่งเป็น outcomes ทั่วไป (generic outcomes) โดยมากมักมาจากนโยบายทางการศึกษา ถ้าเทียบแล้ว น่าจะเป็นเหมือนสิ่งที่กำหนดใน KMUTT QF อย่างไรก็ตาม learning outcomes นี้เมื่ออยู่เดี่ยว ๆ จะไม่มีความหมายเพียงพอ จึงต้องใส่บริบทไว้ จึงกลายเป็น learning outcome แบบที่ 2 คือ learning outcomes
🎀 Learning outcomes ซึ่งเป็นสิ่งที่บอกว่าผู้เรียนจะต้องสามารถทำอะไรได้หลังจากจบการเรียนรู้ ซึ่งมักจะมีส่วนผสมของ Knolwedge (K), Skill (S) และ Values (V) and attitudes (A) ซึ่งใช้เป็น guide ว่าจะเลือกเอาความรู้อะไรมาสอน และจะสอนด้วยวิธีอะไรเพื่อให้ได้มาซึ่ง learning outcome นั้น ๆ
Note1 learning outcome จะมีระดับขั้นการเรียนรู้ที่กำหนดด้วย taxonomy ต่าง ๆ เช่น Bloom's Taxonomy, SOLO taxonomy หรือ De Fink's Taxonomy of Significant learning แต่ competency อาจจะไม่มีระดับขั้น ตรงนี้เข้าใจเอาจากหลักการทำมาตรฐานอาชีพว่าเราวิเคราะห์ตามตำแหน่งงานในอาชีพ แต่ตำแหน่งที่สูงขึ้น ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาสมรรถนะเดิมมาต่อยอด เช่น ช่างพิมพ์ต้อง operatae เครื่องพิมพ์ได้ แต่เมื่อมาเป็นหัวหน้าช่างพิมพ์จะต้องสอนงานลูกน้องได้ ความรู้ในการ operate เครื่องไม่ได้จำเป็นต้องเพิ่มขึ้น (บางทีอาจลดลงเพราะโอกาสการลงมือปฏิบัติมีน้อยลง) แต่ต้องมีทักษะใหม่คือการสอนงานลูกน้อง เป็นต้น
Note2 เรื่อง SKA(&V) เป็นส่วนประกอบสำคัญของทั้ง Learning outcomes & Competence ถูกพูดถึงไว้ว่า
🧠 K (knowledge) คือความรู้ที่ได้จาก "meaningful learning" ที่จะช่วยให้ผู้เรียนสร้างความรู้ หรือนำความรู้ไปใช้ การให้ความรู้ยังนับเป็นส่วนสำคัญอยู่แต่ไม่ใช่ "transfer of knowledge" เช่นการ lecture เพียงอย่างเดียว (ครั้งหนึ่งเราเคยให้ชื่อ persona นี้ว่า มังกรพ่นไฟ 🐲🔥) แต่ต้องทำให้เกิด "insight" ทำให้เกิด "skills" และ "values" และส่งผลกับ "attitudes" ที่จำเป็นในการประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้น K จึงหมายถึงการที่ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้ไปใช้ (มากกว่าการรู้ fact)
👍 S (Skill) คือทักษะ ซึ่งค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นสิ่งที่ผู้เรียนทำได้ นอกจาก psychomotor skills ที่ต้องลงมือทำแล้ว เรายังมีเรื่องอื่น ๆ เช่น life skill, learning skill, practical health related skill เป็นต้น
💗 V (Values) & A (Attitudes) เป็นเรื่องหนึ่งที่ทั้งสอนและวัดผลได้ยากมาก Values เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้เรียนเกิดความมุ่งมั่นให้เกิดทำให้เกิดความเป็นเลิศ สร้างความสัมพันธ์เชิงบวก เป็นพลเมืองที่ดี เคารพ diversity ซึ่ง Values จะแสดงออกมาผ่านทางบุคลิกและพฤติกรรม และเมื่อผู้เรียนรู้สึกซาบซึ้งกับ values ก็ส่งผลต่อไปยังทัศนคติของผู้เรียนต่อไป
💬 สิ่งที่สรุปมานี้ได้จากการอ่านจาก reference ด้านล่าง และประสบการณ์จากการอ่านเรื่องอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ การทำหลักสูตร และการทำมาตรฐานอาชีพ เหมือนเป็นการต่อ jigsaw จากหลาย ๆ ชิ้น ที่ถือโอกาสมารวบรวมเอาไว้ด้วยกัน หลายอันจึงเป็นมุมมองของผู้เขียน (ทั้งตัวเอง และผู้เขียนสิ่งที่ได้อ่านมา) เท่านั้น และอาจขัดกับหลัก/หลักฐานอื่น ๆ ไปบ้าง
References:
Comments
Post a Comment